วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 14 มิติระหว่างประเทศ

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่เดิมนั้นเป็นไปในลักษณะของ "พระราชไมตรี” ระหว่างกษัตริย์กับกษัตริย์ กิจกรรมต่างๆ ก็ล้วนดำเนินไปเพื่อสนองตอบต่อรูปแบบของความสัมพันธ์ดังกล่าว และบ่อยครั้งที่สงครามหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ มีสาเหตุจากเหตุผลส่วนพระองค์หรือการรักษาพระเกียรติยศของกษัตริย์ แต่

ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา การวิวัฒน์ของการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจและสังคม ทำให้ลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดั้งเดิมได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสัมพันธ์ยุคใหม่ที่ไม่ได้ยึดถือความสัมพันธ์ส่วนบุคคลของประมุขประเทศเป็นเกณฑ์ หากมีความหลากหลายทางมิติมากขึ้น และเห็นได้อย่างชัดเจนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
 หากเปรียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเช่นการปลูกต้นไม้ใหญ่สักต้นหนึ่ง จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์แบบพระราชไมตรีนั้นเป็นเสมือนเสาหลักต้นใหญ่เพียงต้นเดียวที่ค้ำต้นไม้อยู่ หากเสาคลอนก็อาจทำให้ต้นไม้ล้มลงได้ แต่ความสัมพันธ์แบบหลากมิตินั้นเหมือนเสาต้นย่อมๆ หลายต้นที่ร่วมกันค้ำยันต้นไม้ไว้ ถึงเสาบางต้นอาจจะโยกคลอน แต่ก็ยังมีต้นอื่นๆ คอยพยุงต้นไม้เอาไว้
 แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันจะอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางการทูต แต่ความสำคัญนั้นอาจจะผูกพันกับความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ เช่นความสัมพันธ์ด้านการค้า ความสัมพันธ์ด้านการลงทุน ความสัมพันธ์ทางวิชาการ ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง ความสัมพันธ์ด้านการศึกษา และความสัมพันธ์ด้านกีฬาและวัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งความไม่ลงรอยกันในความสัมพันธ์ด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นความไม่ลงรอยกันความสัมพันธ์ด้านอื่นหรือทุกๆ ด้านไปด้วย
 จีนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการดำเนินความสัมพันธ์แบบหลากมิติ ในยุคสงครามเย็น แม้จีนจะถูกปิดล้อมจากโลกตะวันตก แต่จีนก็พยายามแหวกวงล้อมด้วยการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรม รวมทั้งการใช้กีฬาเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับโลกภายนอก จนเป็นที่มาของคำว่า “การทูตปิงปอง” หรือขณะที่รัฐบาลจีนแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับไต้หวันมาโดยตลอด แต่อีกทางหนึ่งก็เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนของทั้งสองจีนพัฒนาความสัมพันธ์ต่อกัน และเมื่อประชาคมโลกเริ่มให้การรับรองสถานภาพของจีนจนสามารถมีที่นั่งในสหประชาชาติแทนที่ไต้หวันได้นั้น แม้ในทางนิตินัยประเทศที่เปิดความสัมพันธ์กับจีนจะต้องตัดความสัมพันธ์กับไต้หวัน แต่ทางพฤตินัยจีนก็ยินยอมให้ประเทศต่างๆ เหล่านั้นยังคงมีความสัมพันธ์กับไต้หวัน ในด้านการค้าและวัฒนธรรมได้ต่อไป
 โดยเฉพาะในกรณีสงครามชายแดนระหว่างจีนกับอินเดีย ในปี ค.ศ.1962 จีนได้ใช้นโยบายทางการทูตควบคู่ไปกับการรบ และคลี่คลายปัญหาด้วยกลยุทธ์แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง โดยเจรจาแก้ไขปัญหาในเรื่องที่สามารถตกลงกันได้ และเก็บเรื่องที่ยังตกลงกันไม่ได้เอาไว้ก่อน ซึ่งแม้เวลาจะล่วงเลยจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมาเกือบ 50 ปีแล้ว และจีนกับอินเดียยังมีพื้นที่ซ้ำซ้อนกันในรัฐอรุณาจัลประเทศ เป็นพื้นที่กว่า 9 หมื่น ตร.กม. ก็ตาม
 ประเทศไทยของเราเองก็มีความสัมพันธ์ในหลากหลายมิติกับประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า วิชาการ ความมั่นคง วัฒนธรรม ฯลฯ ซึ่งน่าจะผลักดันและส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ในมิติเหล่านั้นมีบทบาทที่เข้มแข็งขึ้น เพื่อเป็นเสาที่ช่วยค้ำยันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้มั่นคงต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น